วันอังคารที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2561

9.2 ทักษะที่จําเป็น 3 ประการ


ทักษะที่จำเป็น 3 ประการ

ทักษะการสื่อสารอยางมีประสิทธิภาพ

การสื่อสาร เปนกระบวนการสรางความเขาใจกันระหวางบุคคล โดยอาจเปนการสื่อสารทางเดียว (one-way communication) คือ การสื่อขาวสารจากผูสงสาร ไปยังผูรับสาร โดยไมมีการสื่อสารกลับ หรือสะทอนความรูสึกกลับไปยังผูสงสารอีกครั้ง สวนการสื่อสารสองทาง (Two-wayCommunication) เปนการสื่อขาวสารจากผูสงสารไปยังผูรับสาร และมีการสื่อสารกลับ หรือสะทอนความรูสึกกลับจากผูรับสาร ไปยังผูสงสารอีกครั้ง จึงเรียกวา เปนการสื่อสารสองทางการสื่อสารระหวางบุคคล นับวาเปนความจําเปนอยางยิ่ง เพราะในการดําเนินชีวิตปกติในปจจุบัน การสื่อสารเขามามีบทบาทอยางยิ่งในทุกกิจกรรม ไมวาจะเปนการสื่อสารดวย การพูด การเขียน การแสดงกิริยาทาทาง หรือการใชเครื่องมือสื่อสารที่เปนเทคโนโลยีสมัยใหม ตาง ๆ
เชน โทรศัพท Internet e-mail ฯลฯ ทั้งนี้ การสื่อสารดวยวิธีใด ๆ ก็ตาม ควรทําใหผูสงสาร และผูรับสารเกิดความเขาใจอันดีตอกัน และเกิดสัมพันธภาพที่ดีตามมา ซึ่งทักษะที่จําเปนในการสื่อสาร ไดแกการรูจักแสดงความคิดเห็น หรือความตองการใหถูกกาลเทศะ และการรูจักแสดงความชื่นชมผูอื่น การรูจักขอรอง การเจรจาตอรองในสถานการณคับขันจําเปน การตักเตือนดวยความจริงใจ และใชวาจาสุภาพ การรูจักปฏิเสธเมื่อถูกชักชวนใหปฏิบัติในสิ่งที่ผิดขนบธรรมเนียมประเพณี หรือผิดกฎหมาย เปนตน
การสื่อสารดวยการปฏิเสธ
หลาย ๆ คนไมกลาปฏิเสธคําชักชวนของเพื่อน หรือคนรัก เมื่อไปทําในสิ่งที่ตนเองไมเห็นดวย เชน การมีเพศสัมพันธที่ไมปลอดภัย การเที่ยวซองโสเภณี การเสพยาเสพติด ฯลฯ อันที่จริงการปฏิเสธเปนสิทธิของทุกคน การปฏิเสธคําชักชวนของเพื่อน หรือคนรักเมื่อทําในสิ่งที่ตนเองไมเห็นดวยอยางเหมาะสม และไดผลจะชวยปองกันการมีพฤติกรรมเสี่ยงได คนสวนใหญไมกลาปฏิเสธคําชักชวนของเพื่อน หรือคนรัก เพราะกลัวว่าเพื่อน หรือคนรักจะโกรธ แตถาสามารถปฏิเสธไดถูกตองตามขั้นตอนจะไมทําใหเสียเพื่อน
การปฏิเสธที่ดี  จะตองปฏิเสธอยางจริงจัง ทั้งทาทาง คําพูด และน้ำาเสียง เพื่อแสดงความตั้งใจอยางชัดเจนที่จะขอปฏิเสธมี 3 ขั้นตอน คือ
1. บอกความรูสึกเปนขออางประกอบเหตุผล เพราะการบอกความรูสึกจะโตแยงยากกวาการบอกเหตุผลอยางเดียว
2. การขอปฏิเสธเปนการบอกปฏิเสธชัดเจนดวยคําพูด
3. การถามความเห็นชอบเพื่อรักษาน้ําใจของผูชวน และความขอบคุณเมื่อผูชวนยอมรับการปฏิเสธ

ทักษะการสรางสัมพันธภาพระหวางบุคคล

คงไดยินคําพูดนี้บอย ๆ วา คนเราอยูคนเดียวในโลกไมไดเราตองพึ่งพาอาศัยกันซึ่งจะตองมีสัมพันธภาพที่ดีตอกัน  การที่จะสรางสัมพันธภาพใหเกิดขึ้นระหวางกันนั้น เปนเรื่องไมยาก แรกเริ่มคือ
1. มีการติดตอพบปะกันเราจะตองมีการติดตอพบปะพูดคุยกับคนที่ตองการมีสัมพันธภาพกับเขา ใหเวลากับเขา ทํางานรวมกัน ทํากิจกรรมรวมกัน เลนกีฬาดวยกัน และในที่สุดเราก็มีโอกาสสรางมิตรภาพที่ดีตอ
กัน
2. มีความสนใจและประสบการณรวมกันประสบการณเปนสิ่งที่นําคนสองคนใหมารวมมือกัน การชวยเหลือกันในระหวางการเลาเรียน หรือการทํางานดวยกัน มีความสนใจในเรื่องเดียวกัน การรวมประสบการณ และแลกเปลี่ยนประสบการณระหวางกัน เปนการสรางมิตรภาพที่ดีใหเกิดขึ้นได
3. มีทัศนคติและความเชื่อที่คลายคลึงกันชวงวัยรุนเปนชวงที่ความคิด ทัศนคติ และความรูสึกอาจมีการเปลี่ยนแปลงอยางรวดเร็ว ถาคนไหนมีความคิดเห็นคลายคลึงกับเรา เราจะรูสึกพอใจ แตถาคนไหนมีความคิดแตกตางกับเรา เราจะรูสึกไมพอใจ แตในความเปนจริงตองเขาใจวา คนสวนใหญไมไดมีความเห็นเหมือนกันทุกเรื่อง แมในคนที่เปนมิตรตอกันเพียงใดก็ตาม

ทักษะการเขาใจผูอื่น

การที่บุคคลจะอยูในครอบครัว อยูในสังคมอยางมีความสุข จําเปนตองรูจักตนเองและรูจักผูที่ตนเกี่ยวของสัมพันธดวย ดังภาษิตจีนที่วา รูเขา รูเรา รบรอยครั้ง ชนะรอยครั้งดังนั้น การที่เราจะทําความรูจักผูอื่น ซึ่งเราจะตองเกี่ยวของสัมพันธดวย ไมวาจะเปนภายในครอบครัวของเราเอง หรือในสถานศึกษา ในสถานที่ทํางาน เพราะเราไมสามารถอยูคนเดียวไดในทุกที ทุกสถานการณ
หลักในการเขาใจผูอื่น มีดังนี้
1. ตองคํานึงวาคนทุกคนมีศักดิ์ศรีความเปนมนุษยเชนเดียวกับเรา จึงควรปฏิบัติกับเพื่อนมนุษยทุกคนดวยความเคารพในศักดิ์ศรีของความเปนมนุษยเทาเทียมกัน ไมวาจะเปน คนจนคนรวย คนแก เด็ก คนพิการ ฯลฯ
2. บุคคลทุกคนมีความแตกตางกัน ทั้งพื้นฐานความรู ฐานะทางเศรษฐกิจ สภาพความเปนอยู ระดับการศึกษา การปลูกฝงคุณธรรม คานิยม ระเบียบ วินัย ความรับผิดชอบ ฯลฯ ดังนั้นหากเรายอมรับความแตกต่างระหวางบุคคลดังกลาว จะทําใหเราพยายามทําความเขาใจเขา และสื่อสารกับเขาดวยกิริยาวาจาสุภาพ ซึ่งหากยังไมเขาใจเราก็จําเปนตองอดทน และอธิบายดวยภาษาที่เขาใจงายไมแสดงอาการดูถูกดูแคลน หรือแสดงอาการหงุดหงิด รําคาญ เปนตน
3. การเอาใจเขามาใสใจเรา บุคคลทั่วไปมักชอบใหคนอื่นเขาใจตนเอง ยอมรับ ในความตองการ ควรเปนตัวตนของตนเอง ดังนั้นจึงมักมีคําพูดติดปากเสมอ เชน ฉันอยางนั้น ฉันอยางนี้ ทําไมเธอไมทําอยางนั้น ทําไมเธอไมทําอยางนี้ ทําไมเธอถึงไมเขาใจฉัน ฯลฯ ซึ่งเปนการเอาใจเราไปยัดเยียดใสใจเขา และมักไมพึงพอใจในทุกเรื่อง ทุกฝาย ทั้งนี้ในดานกลับกัน หากเราคิดใหม ปฏิบัติใหม โดยพยายามทําความเขาใจผูอื่นไมว่าจะเปน พอแมเขาใจลูก หรือลูกเขาใจ พอแม เพื่อนเขาใจเพื่อน โดยการทําความเขาใจวาเขาหรือเธอมีเหตุผลอะไร ทําไมจึงแสดงพฤติกรรมเชนนั้น เขามีความตองการอะไร เขาชอบอะไร ฯลฯ เมื่อเราพยายามเขาใจเขา และปฏิบัติใหสอดคลองกับความชอบความตองการของเขาแลว ก็จะทําใหการอยูรวมกัน หรือการทํางานรวมกันเปนไปดวยความราบรื่นและแสดงความสงบสันติสุขในครอบครัว ชุมชน และสังคม
          4. การรับฟงผูอื่น การที่เราจะเขาใจผูอื่นไดดีหรือไม ขึ้นอยูกับวาเรารับฟงความคิดเห็น ความตองการของเขามากนอยเพียงใด บุคคลทั่วไปในปจจุบันไมชอบฟงคนอื่นพูด แตชอบที่จะพูดใหคนอื่นฟง และปฏิบัติตาม ดังนั้น สิ่งสําคัญที่เปนพื้นฐานที่จะทําใหเราเขาใจผูอื่นก็คือ ทักษะการฟง ซึ่งจะตองเปนการฟงอยางตั้งใจ ไมขัดจังหวะ หรือแสดงอาการเบื่อหนาย และควรแสดงกิริยาตอบรับ เชน สบตา ผงกศีรษะ ทั้งนี้ การฟงอยางตั้งใจ จะทําใหเรารับทราบความคิด ความตองการ หรือปญหาของผูที่เราเกี่ยวของดวย ไมวาจะเปนในฐานะลูกกับพอแม พอแมกับลูก นายจางกับลูกจางหัวหนากับลูกนอง ฯลฯ ซึ่งจะทําใหเราเกิดอาการเขาใจ และสามารถแกปญหาไดอยางถูกตองในที่สุด

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น