วันอังคารที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2561

1.1 โครงสร้าง หน้าที่และการทํางานของระบบต่าง ๆ ที่สําคัญของร่างกาย และการดูแลรักษาการป้องกันความผิดปกติของอวัยวะ

     
         เรื่องที่
                           โครงสร้าง หน้าที่และการทํางานของระบบต่าง ๆ ที่สําคัญของร่างกายและ                          
                    การดูแลอวัยวะ รักษาและการป้องกันความผิดปกติของระบบอวัยวะ
                     ร่างกายของมนุษย์ประกอบขึ้นจากหน่วยเล็กที่สุด คือ เซลล์จํานวนหลายพันล้าน เซลล์ เซลล์ที่มีโครงสร้างและหน้าที่คล้ายคลึงกันมารวมเป็นเนื้อเยื่อ เนื้อเยื่อมีหลายชนิด แต่ละชนิด เมื่อมาประกอบกันจะเป็นอวัยวะ อวัยวะที่ทําหน้าที่ประสานสัมพันธ์กันรวมเรียกว่า ระบบในร่างกาย มนุษย์ ประกอบด้วยระบบการทํางานทั้งสิ้น 10 ระบบ แต่ละระบบมีการทํางานที่ประสานสัมพันธ์กัน กลไกทํางานของร่างกายมีการทํางานที่ซับซ้อน โดยมีระบบประสาทรวมทั้งฮอร์โมนจากระบบต่อม ไร้ท่อเป็นหน่วยควบคุมการทํางานของร่างกาย       อวัยวะต่าง ๆ ของร่างกายนั้นมีมากมาย มีทั้งอวัยวะที่เรามองเห็น ซึ่งส่วนใหญ่จะอยูู่ ภายนอกร่างกาย และอวัยวะที่เรามองไม่เห็นซึ่งอยู่ภายในร่างกายของคนเรา การทํางานของระบบอวัยวะต่าง ๆ ของร่างกาย ประกอบด้วยโครงสร้างที่สลับซับซ้อนยิ่ง กว่าเครื่องยนต์กลไกที่มนุษย์สร้างขึ้นเป็นอย่างมาก ธรรมชาติได้สร้างระบบอวัยวะต่าง ๆ ของร่างกายอย่างน่า พิศวง พอจําแนกได้เป็น 10 ระบบ ซึ่งแต่ละระบบก็จะทํางานไปตามหน้าที่ และมีความสัมพันธ์ต่อกันในการ ทํางานอย่างวิเศษสุด ระบบอวัยวะต่าง ๆ ของร่างกายทั้ง 10 ระบบ มีดังนี้ 1. ระบบผิวหนัง (Integumentary System) 2. ระบบโครงกระดูก (Skeletal System) 3. ระบบกล้ามเนื้อ (Muscular System) 4. ระบบยอยอาหาร (Digestive System) 5. ระบบขับถ่ายปัสสาวะ (Urinary System) 6. ระบบหายใจ (Respiratory System) 7. ระบบไหลเวียนเลือด (Circulatory System) 8. ระบบประสาท (Nervous System) 9. ระบบสืบพันธุ์ (Reproductive System) 10. ระบบต่อมไร้ท่อ (Endocrine System) ระบบอวัยวะที่จัดว่าเป็นระบบโครงสร้างพื้นฐานของร่างกาย คือ ระบบผิวหนัง ระบบโครงกระดูก และระบบกล้ามเนื้อ ระบบอวัยวะทั้ง 3 มีความเกี่ยวข้องสัมพันธ์ กล่าวคือ ระบบ ผิวหนังทําหน้าที่ปกคลุมร่างกาย ซึ่งรวมทั้งการหุ้มห่อป้องกันอันตรายระบบโครงกระดูกและ กล้ามเนื้อด้วย สําหรับระบบกระดูกทําหน้าที่เป็นโครงร่างของร่างกาย เป็นที่ยึดเกาะของกล้ามเนื้อ เมื่อกล้ามเนื้อหดตัวทําให้ร่างกายสามารถเคลื่อนไหวส่วนต่าง ๆ ได้ ระบบทั้ง 3 นอกจากมีการทํางาน เกี่ยวข้องกันและต้องทํางานประสานกับระบบอื่น ๆ อีกด้วย ในชั้นนี้จะกล่าวถึงการทํางานของระบบอวัยวะ 4 ระบบ คือระบบผิวหนัง ระบบกล้ามเนื้อ ระบบ กระดูก และระบบไหลเวียนโลหิต 
                                            
                                                             1ระบบผิวหนัง 
                     ผิวหนังเป็นอวัยวะที่ห่อหุ้มร่างกาย เซลล์ชั้นบนมีการเปลี่ยนแปลงที่สําคัญคือ มีเคอราทิน (Keratin) ใสและหนา มีความสําคัญ คือ ป้องกันน้ําซึม เข้าสู่ร่างกาย การเปลี่ยนแปลงที่ทําให้เกิดเคอราทีน เรียกว่า เคอราที-ไนเซซัน (Keratinization) ตัวอย่าง อวัยวะที่เกิดกระบวนการดังกล่าว เช่น ฝ่ามือ ฝ่าเท้า 
                     ผิวหนังประกอบด้วย 2 ส่วน คือ ส่วนที่อยู่บนพื้นผิว เรียกว่า หนังกําพร้า (Epidermis) ส่วนที่อยู่ลึกลงไป เรียกว่า หนังแท้ (Dermis) 1. หนังกําพร้า (Epidermis) เป็นผิวหนังส่วนบนสุด ประกอบด้วยเซลล์บาง ๆ ตรง พื้นผิวไม่มีนิวเคลียส และจะเป็นส่วนที่มีการหลุดลอกออกเป็นขี้ไคล และสร้างเซลล์ขึ้นมาทดแทน อยู่เสมอส่วนต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในชั้นผิวหนังกําพร้า ได้แก่ เล็บมือ เล็บเท้า ขน และผม ส่วนเซลล์ ชั้นในสุดที่ทําหน้าที่ผลิตสีผิว (Melanin) เรียกว่า สเตรตัม เจอร์มินาทิวัม (Stratum Germinativum)  2. หนังแท้ (Dermis) ผิวหนังแท้อยู่ใต้ผิวหนังกําพร้า หนาประมาณ 1-2 มิลลิเมตร ประกอบด้วย เนื้อเยื่อเกี่ยวพัน 2 ชั้น คือ 2.1 ชั้นบนหรือชั้นตื้น (Papillary Layer) เป็นชั้นที่นูน ยื่นเข้ามาแทรกเข้าไปใน หนังกําพร้า เรียกว่า เพ็บพิลารี (Papillary) มีหลอดเลือด และปลายประสาทฝอย 2.2 ชั้นล้างหรือชั้นลึก (Reticular Layer) มีไขมันอยู่ มีรากผมหรือขนและต่อม ไขมัน (Sebaceous Glands) อยู่ในชั้นนี้
 3. หลอดเลือด (Blood Vessels) มี 3 ชนิด ได้แก่หลอดเลือดแดง (Arteries) จะนํา
เลือดแดงจากหัวใจไปเลี้ยงเซลล์ต่าง ๆ ของร่างกาย หลอดเลือดดํา (Veins) จะนําเลือดที่ใช้แล้วจาก
ส่วนต่าง ๆ ของร่างกายกลับสู่หัวใจ แล้วส่งไปฟอกที่ปอด หลอดเลือดฝอย (Capillaries) เป็นแขนง
เล็ก ๆ ของทั้งหลอดเลือดแดงและหลอดเลือดดํา ผนังของหลอดเลือดฝอยจะบางมากมีอยู่ทั่วไปใน
ร่างกาย จะเป็นที่แลกเปลี่ยนอาหาร ก๊าซ และของเสียต่าง ๆ ระหว่างเลือดกับเซลล์กับเซลล์ของร่างกาย
เพราะอาหาร ก๊าซ และของเสียต่าง ๆ สามารถซึมผ่านได้     การสร้างเสริมและดํารงประสิทธิภาพการทํางานของระบบผิวหนัง ผิวหนังเป็นอวัยวะภายนอกที่ห่อหุ้มร่างกาย ช่วยส่งเสริมบุคลิกภาพของบุคคลและ บ่งบอกถึงการมีสุขภาพที่ดีและไม่ของแต่ละคนด้วย เช่น คนที่มีสุขภาพดี ผิวหนังหรือผิวพรรณจะ เต่งตึง สดใส แข็งแรง ซึ่งจะตรงกันข้ามกับผู้ที่มีสุขภาพไม่ดีหรือเจ็บป่วย ผิวหนังจะแห้ง ซีดเซียว หรือผิวหนังเป็นแผลตกสะเก็ด เป็นต้น ดังนั้น จึงจําเป็นต้องสร้างเสริมและดูแลผิวหนังให้มีสภาพที่สมบูรณ์มีประสิทธิภาพในการ ทํางานอยู่เสมอ ดังนี้
 1. อาบน้ําชําระล้างร่างกายให้สะอาดด้วยสบู่อย่างน้อยวันละ 1-2 ครั้ง 
2. ทาครีมบํารุงผิวที่มีคุณภาพและเหมาะสมกับผิวของตนเอง ซึ่งตามปกติวัยรุ่นจะมี ผิวพรรณเปล่
่งปลั่งตามธรรมชาติอยู่แล้ว ไม่จําเปนที่จะตองใชครีมบํารุงผิว ยกเวนในชวงอากาศ หนาว ซึ่งจะทําใหผิวแหง แตก 3. ทาครีมกันแดดกอนออกจากบานเมื่อตองไปเผชิญกับแดดรอนจัด เพื่อปองกัน อันตรายจากแสงแดดที่มีรังสีซึ่งเปนอันตรายตอผิวหนัง 4. สวมเสื้อผาที่สะอาดพอดีตัวไมคับหรือหลวมเกินไป และเหมาะสมกับภูมิอากาศ ตามฤดูกาล 5. รับประทานอาหารใหครบทุกหมู และเพียงพอตอความตองการโดยเฉพาะผักและ ผลไม 6. ดื่มน้ําสะอาดอยางนอยวันละ 6-8 แกว น้ําจะชวยใหผิวพรรณสดชื่นแจมใส 7. ออกกําลังกายเปนประจําเพื่อใหรางกายแข็งแรง 8. นอนหลับ พักผอนใหเพียงพออยางนอยวันละ 8 ชั่วโมง 9. ดูแลผิวหนังอยาใหเปนแผล ถามีควรรีบรักษาเพื่อไมไดเกิดแผลเรื้อรัง เพราะ แผลเปนทางผานของเชื้อโรคเขาสูรางกาย
                                      
                                                 2. ระบบกลามเนื้อ 
Image result for ระบบกล้ามเนื้อ

                       กลามเนื้อเปนแหลงพลังงานที่ทําใหเกิดการเคลื่อนไหว ในสวนตาง ๆ ของรางกายมี กลามเนื้ออยูในรางกาย 656 มัด เราสามารถสรางเสริมกลามเนื้อใหใหญโต แข็งแรงได ดังเชน นัก เพาะกายที่มีกลามเนื้อใหญโตใหเห็นเปนมัด ๆ หรือนักกีฬาที่มีกลามเนื้อแข็งแรงสามารถปฏิบัติงาน 6 อยางหนักหนวงไดอยางมีประสิทธิภาพ อดทนตอความเมื่อยลา กลามเนื้อประกอบดวยน้ํา 75% โปรตีน 20% คารโบไฮเดรต ไขมัน เกลือแร และอื่น ๆ อีก 5%
 ความสําคัญของระบบกลามเนื้อ 1. ชวยใหรางกายสามารถเคลื่อนไหวไดจากการทํางาน ซึ่งในการเคลื่อนไหวของ รางกายนี้ ตองอาศัยการทํางานของระบบโครงกระดูกและขอตอตาง ๆ ดวย โดยอาศัยการยืด และหดตัว ของกลามเนื้อ 2. ชวยใหอวัยวะภายในตาง ๆ เชน หัวใจ ปอด กระเพาะอาหาร ลําไสเล็ก ลําไส ใหญ หลอดเลือด ทํางานไดตามปกติและมีประสิทธิภาพ เนื่องจากการบีบรัดตัวของกลามเนื้อของ อวัยวะดังกลาว 3. ผลิตความรอนใหความอบอุนแกรางกาย ซึ่งความรอนนี้เกิดจากการหดตัวของ กลามเนื้อ แลวเกิดปฏิกิริยาทางเคมี 4. ชวยปองกันการกระทบกระเทือนจากอวัยวะภายใน 5. เปนที่เกิดพลังงานของรางกาย 
            ชนิดของกลามเนื้อ กลามเนื้อแบงตามลักษณะรูปรางและการทํางานได 3 ชนิด คือ 1. กลามเนื้อลาย (Striated Muscle or Crosstripe Muscle) เปนกลามเนื้อที่ ประกอบเปนโครงรางของรางกาย (Skeletal Muscle) เปนกลามเนื้อที่ประกอบเปนลําตัว หนา แขน ขา เปนตน โครงสรางและรูปรางลักษณะไฟเบอร (Fiber) หรือเซลลของเนื้อเยื่อกลามเนื้อลาย มีรูปรางยาวรีเปนรูปกระสวย ไฟเบอรมีขนาดยาว 1-40 มิลลิเมตร มีพื้นหนาตัดกวาง 0.01-0.05 มิลลิเมตร ไฟเบอรแตละอันเมื่อสองดูดวยกลองจุลทรรศนจะพบลายตามขวางเปนสีแกและออน สลับกัน 7 2. กลามเนื้อเรียบ (Smooth Muscle) กลามเนื้อเรียบประกอบเปนอวัยวะภายใน
 รางกาย เรียกวา กลามเนื้ออวัยวะภายใน ไดแก ลําไส กระเพาะอาหาร กระเพาะปสสาวะ มดลูก หลอดเลือด หลอดน้ําเหลือง เปนตน กลามเนื้อเรียบสนองตอบสิ่งเรานานาชนิดไดดี เชน การขยายตัว การเปลี่ยนแปลง ของอุณหภูมิและกระแสประสาท ความเย็นจะทําใหกลามเนื้อหดตัวไดดี สําหรับความรอนนั้นขึ้นอยู กับอัตราการใหวาเร็วหรือชา คือ ถาหากประคบความรอนทันทีทันใด ความรอนจะกระตุนให กลามเนื้อหดตัว แตใหความรอนทีละนอยกลามเนื้อจะคลายตัว กลามเนื้อเรียบมีความไวตอการ เปลี่ยนแปลงของสวนประกอบของเลือดหรือน้ําในเนื้อเยื่อ ฮอรโมน วิตามิน ยา เกลือ กรด ดาง 3. กลามเนื้อหัวใจ (Cardiac Muscle) กลามเนื้อหัวใจจะพบที่หัวใจและผนังเสน เลือดดําใหญที่นําเลือดเขาสูหัวใจเทานั้น เซลลกลามเนื้อหัวใจมีลักษณะโดยทั่วไปคลายคลึงกับเซลล กลามเนื้อลาย คือ มีการเรียงตัวใหเห็นเปนลายเมื่อดูดวยกลองจุลทรรศน กลามเนื้อหัวใจมีลักษณะ แตกกิ่งกานและสานกัน มีรอยตอและชอง (Gap Junction) ระหวางเซลล ซึ่งเปนบริเวณที่มีความ ตานทานไฟฟาต่ํา ทําใหเซลลกลามเนื้อหัวใจสามารถสงกระแสไฟฟาผานจากเซลลหนึ่งไปยังอีกเซลล หนึ่งได้
            การสรางเสริมและดํารงประสิทธิภาพการทํางานของระบบกลามเนื้อ การทํางานของกลามเนื้อที่มีประสิทธิภาพตองทํางานประสานสัมพันธกับกระดูกและ ขอตอตาง ๆ อยางเหมาะสมกลมกลืนกัน ตลอดจนมีผิวหนังหอหุม ดังนั้น อวัยวะตาง ๆ เหลานี้จึง ตองไดรับการสรางเสริมบํารุง คือ 1. รับประทานอาหารที่มีประโยชน โดยเฉพาะวัยรุนตองการสารอาหารประเภท โปรตีน แคลเซียม วิตามิน และเกลือแร เพื่อเสริมสรางกลามเนื้อและกระดูกใหแข็งแรงสมบูรณ ควรไดรับอาหารที่ใหสารอาหารโปรตีนอยางนอย 1 กรัม ตอน้ําหนักตัว 1 กิโลกรัมตอวัน และตอง รับประทานอาหารใหครบทุกหมูในปริมาณที่เพียงพอ 2. ดื่มน้ํามาก ๆ อยางนอยวันละ 6-8 แกว เพราะน้ํามีความสําคัญตอการทํางานของ ระบบอวัยวะตาง ๆ 8 3. ออกกําลังกายเพื่อสรางเสริมความแข็งแรงใหกับกลามเนื้อ อยางนอยสัปดาหละ 3 วัน วันละ 30-60 นาที 4. ปองกันการบาดเจ็บของกลามเนื้อโดยไมใชกลามเนื้อมากเกินความสามารถ
                                        
                                                    3. ระบบโครงกระดูก 

Related image

                                   มนุษยจะมีรูปรางเหมาะสมสวยงามขึ้นอยูกับกระดูกสวนตาง ๆ ที่ประกอบเปนโครง รางของรางกายเริ่มแรกกระดูกที่เกิดขึ้นเปนกระดูกออนและเปลี่ยนเปนกระดูกแข็งในระยะตอมา โดย มีเลือดไปเลี้ยงและนําแคลเซียมไปสะสมในกระดูก กระดูกจะเจริญทั้งดานยาวและดานกวาง กระดูกจะยาวขึ้นโดยเฉพาะในวัยเด็ก กระดูกจะยาวขึ้นเรื่อย ๆ จนอายุ 18 ปในหญิงและ 20 ปในชาย แลวจึงหยุดเจริญเติบโต และกลายเปน กระดูกแข็งแรงทั้งหมด สวนการขยายใหญยังมีอยูเนื่องจากยังมีเซลลกระดูกใหมงอกขึ้นเปนเยื่อหุม รอบ ๆ กระดูก กระดูกเปนอวัยวะสําคัญในการชวยพยุงรางกายและประกอบเปนโครงราง เปนที่ยึด เกาะของกลามเนื้อ และปองกันการกระทบกระเทือนตออวัยวะภายในของรางกาย เมื่อเจริญเติบโต เต็มที่จะมีกระดูก 206 ชิ้น แบงเปนกระดูกแกน 80 ชิ้น และกระดูกระยางค 126 ชิ้น กระดูกใหญที่สําคัญ ๆ ประกอบเปนโครงราง ไดแก 1. กระโหลกศีรษะ (Skull) ประกอบดวย กระดูก 8 ชิ้น 2. กระดูกใบหนา (Face Bone) ประกอบดวยกระดูก 14 ชิ้น 3. กระดูกที่อยูภายในของหูสวนกลาง (Ear Ossicles) ประกอบดวยกระดูก 6 ชิ้น 4. กระดูกโคนลิ้น (Hyoid Bone) ประกอบดวยกระดูก 1 ชิ้น 5. กระดูกลําตัว (Hyoid of the Trunk) ประกอบดวยกระดูก 26 ชิ้น 6. กระดูกหนาอก (Sternum) ประกอบดวยกระดูก 1 ชิ้น 7. กระดูกซี่โครง (Ribs)ประกอบดวยกระดูก 24 ชิ้น หรือ 12 คู 8. กระดูกแขนและขา (Appendicular Skeleton) ประกอบดวยกระดูก 126 ชิ้น
                          ความสําคัญของระบบโครงกระดูก 1. ประกอบเปนโครงราง เปนสวนที่แข็งของรางกาย 2. เปนที่รองรับและปองกันอวัยวะตาง ๆ ของรางกาย 3. เปนที่ยึดเกาะของกลามเนื้อ ทําใหมีการเคลื่อนไหวได 4. เปนที่สรางเม็ดเลือด 5. เปนที่เก็บและจายเกลือแคลเซียม ฟอสเฟต และแมกนีเซียม 6. ปองกันอวัยวะภายในรางกาย เชน ปอด หัวใจ ตับ สมอง และประสาท เปนตน การสรางเสริมและดํารงประสิทธิภาพการทํางานของระบบโครงกระดูก 1. รับประทานอาหารใหครบทุกหมูโดยเฉพาะอาหารที่มีสารแคลเซียมและวิตามินดี ไดแก เนื้อสัตว นมและผักผลไมตางๆ รับประทานใหเพียงพอตอความตองการของรางกายเพื่อไป สรางและบํารุงกระดูกใหแข็งแรงสามารถทํางานไดอยางมีประสิทธิภาพ 2. ออกกําลังกายเปนประจําสม่ําเสมอจะชวยใหรางกายแข็งแรง กระดูกและ กลามเนื้อที่ไดรับการบริหารหรือทํางานสม่ําเสมอ จะมีความแข็งแกรงมากขึ้น มีการยืดหยุน และ ทํางานไดอยางเต็มที่ 3. ระมัดระวังการเกิดอุบัติเหตุกับกระดูก หากไดรับอุบัติเหตุโดยถูกตี กระแทก ชน หรือตกจากที่สูงจนทําใหกระดูกแตกหรือหัก ตองรีบปฐมพยาบาลอยางถูกวิธีและพบแพทย เพื่อให กระดูกกลับสูสภาพปกติและใชงานไดดีอยางปกติ
 4. ระบบไหลเวียนเลือด ระบบไหลเวียนเลือดเปรียบเสมือนระบบการขนสง ทั้งนี้เปนเพราะในระบบ ไหลเวียนเลือด มีเลือดทําหนาที่ลําเลียงอาหารที่ยอยสลายแลว น้ํา กาซ ไปเลี้ยงเซลลตาง ๆ ของ รางกาย และเวลาเลือดไหลเวียนกลับก็จะพาเอาของเสียตาง ๆ ไปยังสวนของรางกายที่ทําหนาที่สง ของเสียเหลานี้ออกมานอกรางกายดวย ความสําคัญของระบบไหลเวียนเลือด 1. นํากาซออกซิเจน (O2 ) สงไปยังเซลลตาง ๆ ของรางกาย และนํากาซ คารบอนไดออกไซด (CO2 ) จากเซลลเพื่อขับออกนอกรางกายทางลมหายใจ 2. ควบคุมอุณหภูมิภายในรางกายใหอยูในเกณฑปกติ 3. นําน้ําและเกลือแรตางๆ ไปสูเซลลและขับของเสียออกจากรางกายในรูปของปสสาวะ 4. นําแอนติบอดี (Antibody) ไปใหเซลลตาง ๆ เพื่อชวยใหรางกายมีภูมิคุมกันโรค 5. นําฮอรโมนไปใหเซลลตาง ๆ เพื่อใหรางกายทํางานตอบสนองตอสิ่งเราตาง ๆ ได 6. นําเอนไซมไปใหเซลลตาง ๆ เพื่อชวยในการเผาผลาญอาหาร
 เลือดและทางเดินของเลือด 1. เลือด (Blood) เปนของเหลวสีแดงมีฤทธิ์เปนดาง มีความเหนียวกวาน้ําประมาณ 5 เทา รางกายคนเรามีเลือดอยูประมาณ 10% ของน้ําหนักตัว ในเลือดจะประกอบดวยพลาสมา (Plasma) มีอยูประมาณ 55% ของปริมาณเลือดในรางกายและมีเซลลเม็ดเลือด (Corpuscle) ซึ่งมีทั้ง เม็ดเลือดแดงและเม็ดเลือดขาว และเกล็ดเลือด (Platelets) ซึ่งรวมกันแลวประมาณ 45% ของปริมาณ เลือดในรางกาย 2. หัวใจ (Heart) จะมีขนาดประมาณกําปนของตนเอง ตั้งอยูในทรวงอกระหวาง ปอดทั้ง 2 ขาง พื้นที่ของหัวใจ 2 ใน 3 สวนจะอยูทางหนาอกดานซายของรางกาย ภายในหัวใจจะแบงเปน 4 หอง ขางบน 2 หอง ขางลาง 2 หอง มีลิ้นหัวใจกั้นระหวางหองบนและหองลาง แตละหองจะทํา หนาที่ตางกันคือ หองบนขวาจะรับเลือดเสียจากสวนตาง ๆ ของรางกายจากหลอดเลือดดํา หองลาง ขวาจะรับเลือดจากหองบนขวาแลวสงไปยังปอด ปอดจะฟอกเลือดดําใหเปนเลือดแดงเพื่อนําไปใช ใหม หองบนซายจะรับเลือดแดงจากปอด หองลางซายจะรับเลือดจากหองบนซายแลวสงผานหลอด เลือดแดงไปยังสวนตาง ๆ ของรางกาย
               3. หลอดเลือด (Blood Vessels) มี 3 ชนิด ไดแก หลอดเลือดแดง (Arteries) จะนํา เลือดแดงจากหัวใจไปเลี้ยงเซลลตาง ๆ ของรางกาย หลอดเลือดดํา (Veins) จะนําเลือดที่ใชแลวจาก สวนตาง ๆ ของรางกายกลับสูหัวใจ แลวสงไปฟอกที่ปอด หลอดเลือดฝอย (Capillaries) เปนแขนง เล็ก ๆ ของทั้งหลอดเลือดแดงและหลอดเลือดดํา ผนังของหลอดเลือดฝอยจะบางมากมีอยูทั่วไปใน รางกาย จะเปนที่แลกเปลี่ยนอาหาร กาซ และของเสียตาง ๆ ระหวางเลือดกับเซลลกับเซลลของรางกาย เพราะอาหาร กาซ และของเสียตาง ๆ สามารถซึมผานได้
                 4. น้ำเหลืองและหลอดน้ำเหลือง (Lymph and Lymphatic Vessels) น้ําเหลืองเปนสวนหนึ่งของ ของเหลวในรางกาย มีลักษณะเปนน้ําสีเหลืองออนอยูในหลอดน้ําเหลืองซึ่งมีอยูทั่วรางกาย น้ําเหลือง จะประกอบดวย น้ํา โปรตีน (Protein) เอนไซม (Enzyme) แอนติบอดี (Antibody) และเซลลเม็ดเลือดขาว (White blood cell) น้ําเหลืองจะเปนตัวกลางแลกเปลี่ยนสารตาง ๆ ระหวางเซลลและหลอดเลือดฝอย เซลล เม็ดเลือดขาวในตอมน้ําเหลืองชวยกําจัดแบคทีเรียหรือสิ่งแปลกปลอมตาง ๆ
            เสริมสรางและดํารงประสิทธิภาพการทํางานของระบบไหลเวียนเลือด 1. รับประทานอาหารใหครบ 5 หมู และมีปริมาณที่เพียงพอตอความตองการของ รางกาย 2. ลดปริมาณการรับประทานอาหารที่มีไขมัน และมีสารคอเลสเตอรอล (Cholesterol) สูงเมื่อเขาสูวัยผูใหญ เนื่องจากจะทําใหเกิดไขมันในเลือดสูง เชน กุง ปลาหมึก กะทิ อาหารประเภทผัด ทอด หนังสัตว ไขมันสัตว เปนตน อยางไรก็ตาม สารอาหารประเภทไขมันยัง จัดวาเปนสารอาหารที่จําเปนในวัยเด็กและวัยรุน เพราะไขมันเปนสวนประกอบของโครงสรางผนัง เซลลและเปนแหลงของพลังงาน ดังนั้น วัยรุนควรรับประทานอาหารที่มีไขมันบางในปริมาณที่ เหมาะสมตามขอแนะนําทางโภชนาการ 3. ออกกําลังกายอยางสม่ําเสมออยางนอยสัปดาหละ 3 วัน วันละอยางนอย 30 นาที 4. ทําจิตใจใหราเริงแจมใส ดูแลสุขภาพจิตของตนเองใหดี 5. ควรมีเวลาพักผอนบาง ไมหักโหมการทํางานจนเกินไป 12 6. ผูใหญควรตรวจวัดความดันเลือดเปนระยะ ๆ และตรวจเลือดเพื่อดูไขมันในเลือด อยางนอยปละครั้ง 7. งดเวนการสูบบุหรี่ และการดื่มสุรา ตลอดจนสารเสพติดทุกชนิด 8. เมื่อเกิดความผิดปกติเกี่ยวกับระบบไหลเวียนเลือดควรรีบไปพบแพทย
 สรุป
                รางกายของคนเราประกอบดวยอวัยวะตาง ๆ มากมาย มีทั้งที่มองเห็น ซึ่งสวนใหญ
จะอยูภายนอกรางกาย และสวนที่เรามองไมเห็นซึ่งจะอยูภายในรางกายของคนเรา แตละอวัยวะจะทํา
หนาที่เฉพาะและทํางานประสานกัน จึงทําใหรางกายสามารถดํารงชีวิตอยูไดอยางปกติสุข การทํางาน
ของระบบอวัยวะตาง ๆ ของรางกายจําแนกเปนระบบได 10 ระบบ ในชั้นนี้ไดศึกษาเพียง 4 ระบบ คือ
ระบบผิวหนัง ระบบกลามเนื้อ ระบบโครงกระดูกและระบบไหลเวียนเลือดผิวหนังทําหนาที่เหมือนเกราะปองกันสิ่งตาง ๆ ที่อาจทําอันตรายตอรางกาย กระดูกเปนอวัยวะสําคัญในการชวยพยุงรางกายและประกอบโครงราง เปนที่ยึดเกาะของกลามเนื้อ ซึ่งกลามเนื้อทั่วรางกายมี 656 มัด มีหนาที่ทําใหคนเราทํางานตาง ๆ ได โดยใชการยืดหดของกลามเนื้อ
ดังนั้นเราจะตองสรางเสริมเพื่อดํารงประสิทธิภาพในการทํางานของระบบผิวหนัง ระบบกลามเนื้อและระบบโครงกระดูก



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น