วันอังคารที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2561

5.2 โรคที่เป็นปัญหาสาธารณสุขของประเทศ


โรคติดต่อเป็นปัญหาสาธารณสุขของประเทศ

ไข้หวัดมรณะ (sars) 
           ท่านที่ไปประเทศที่มีการระบาด หรือดูแลผู้ป่วยที่มีโรคไข้หวัดมรณะ หากมีอาการดังต่อไปนี้ควรพบแพทย์ อาการที่พบได้บ่อยคืออาการไข้สูงโดยมากมักจะเกิน 38 องศานอกจากนั้นจะมีอาการปวดศีรษะ หนาวสั่น ปวดตามตัว บางคนอาจจะมีอาการน้อยเมื่อเริ่มเป็นโรค จะเห็นได้ว่าอาการที่ปรากฏไม่แตกต่างจากไข้หวัด
หลังจากมีอาการ 2-7 วันผู้ป่วยจะมีอาการไอแห้งๆ เจ็บหน้าอก หายใจตื้นหรือหายใจหอบ ซึ่งเป็นอาการที่บ่งบอกว่าโรคได้ดำเนินในทางที่แย่ลง มีผู้ป่วยปราณ10-20%ที่อาการเป็นมากจนต้องใส่เครื่องช่วยหายใจ และมีอัตราการตายร้อยละ4%
การป้องกันโรค  ถ้าท่านไปต่างประเทศหรือสัมผัสผู้ป่วยที่เป็นโรคท่านต้องปฏิบัติดังนี้
1.  ปรึกษาแพทย์โดยด่วน
2.  ปิดปากและจมูกด้วยกระดาษทิชชู หรือผ้าเช็ดหน้า สวมหน้ากากป้องกัน เมื่อมีการติดต่อพูดคุยกับผู้อื่น
3.ถ้าท่านสงสัยว่าตัวเองหรือสมาชิกในครอบครัวจะเป็นโรคไข้หวัดมรณะต้องมีองค์ประกอบดังต่อไปนี้
                   -  ไข้มากกว่า 38 องศา
                    - มีประวัติไปประเทศที่มีการระบาดของโรค จีน ไต้หวัน ฮ่องกง เวียดนาม สิงคโปร์ แคนาดา หรืออยู่  อาศัยหรือดูแลผู้ป่วยที่เป็นโรคไข้หวัดมรณะ
          4.มีอาการทางระบบหายใจดังต่อไปนี้
                   - ไอ
                   - แน่นหน้าอก
                   - หายใจหอบ หายใจเร็ว

โรคอหิวาตกโรค
ลักษณะทั่วไป โรคอหิวาตกโรค เป็นโรคทางเดินอาหารที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรียชนิดเฉียบพลัน มีอาการเกิดขึ้นทันทีทันใด เริ่มด้วยอาการถ่ายอุจจาระเป็นน้ำอย่างมาก มีสีขาวเหมือนน้ำซาวข้าว มีกลิ่นเหม็นคาวไหลพุ่งโดยไม่มีอาการปวดท้อง และถ่ายโดยไม่รู้ตัวอาจมีอาเจียนโดยไม่มีอาการคลื่นไส้ทำให้เกิดภาวะการขาดน้ำและเกลือแร่อย่างรวดเร็ว ความดันโลหิตต่ำ กล้ามเนื้อไม่มีแรง เบ้าตาลึก ผิวหนังแห้ง ชีพจรเบา ปัสสาวะน้อย เกิดอาการหมดสติและตายได้หากมิได้รับการรักษาที่ถูกต้องเหมาะสม โรคนี้มักจะระบาดในฤดูแล้งการอยู่อย่างแออัดไม่ถูกหลักสุขาภิบาลจะทำให้เชื้อแพร่กระจายได้รวดเร็วมาก          
       สาเหตุ โรคอหิวาตกโรคเกิดจากเชื้อวิบริโอคอเลอรา (Vibrio cholerae) สามารถติดต่อได้โดยการกินอาหารหรือน้ำที่ปนเปื้อนอุจจาระหรือสิ่งอาเจียนของผู้ป่วยหรือผู้ที่เป็นพาหะ เชื้อจะเข้าไปเจริญเติบโตและแบ่งตัวเพิ่มจำนวนในลำไส้เล็ก และสร้างสารพิษขึ้นทำให้เกิดอาการของโรคขึ้น เชื้ออหิวาตกโรคนี้จะมีระยะฟักตัวจาก 2-3 ชั่วโมง  ถึง  5 วัน โดยทั่วไปอยู่ในระยะ 2-3 วัน   เมื่อผู้ป่วยหรือพาหะถ่ายอุจจาระออกมา เชื้อจะลงสู่พื้นดิน พื้นน้ำ แล้วกระจายไปตามแหล่งน้ำต่าง ๆ เชื้อสามารถอยู่ในน้ำได้นาน จึงทำให้เกิดการแพร่ไปสู่ผู้อื่นได้       
          การควบคุมและป้องกันโรค  โรคอหิวาตกโรคสามารถควบคุมและป้องกันได้ดังนี้ 
       1.  การป้องกันก่อนการเกิดโรค โดย
              1.1  ปรับปรุงการสุขาภิบาลทั้งน้ำ อาหาร และสิ่งขับถ่าย ได้แก่ การจัดหาน้ำดื่มน้ำใช้ที่สะอาด การควบคุมแมลงวันไม่ให้ตอมอาหาร การปรุงอาหารที่สะอาด ถูกหลักสุขาภิบาล ล้างมือก่อนรับประทานอาหารการเก็บและทำลายขยะโดยวิธีที่เหมาะสม และการกำจัดอุจจาระอย่างถูกหลักสุขาภิบาลโดยถ่ายในส้วม เป็นต้น
              1.2  ให้สุขศึกษาแก่ประชาชนเกี่ยวกับสุขภาพอนามัยส่วนบุคคล เพื่อป้องกันการติดต่อจากโรค
              1.3  ให้ภูมิคุ้มกันโดยฉีดวัคซีนป้องกันอหิวาตกโรคตามคำแนะนำของทางราชการ
      2.  การควบคุมและป้องกันเมื่อเกิดโรคขึ้น โดย
               2.1  การรายงานต่อเจ้าหน้าที่สาธารณสุข เพื่อดำเนินการสอบสวนโรคต่อไป
              2.2  การแยกผู้ป่วยไว้เพื่อการรักษา
              2.3  ทำลายเชื้อโรคที่ออกมากับอุจจาระหรืออาเจียนด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อโรค และต้องล้างมือให้สะอาดทุกครั้ง
              2.4  ให้การรักษาพยาบาลอย่างทันท่วงที ด้วยสารน้ำที่มีเกลือแร่ในปริมาณที่พอเพียง
              2.5  มีการติดตามเฝ้าระวังผู้สัมผัสโรคเป็นเวลาอย่างน้อย 5 วัน นับจากวันที่สัมผัสโรค

โรคไข้หวัดใหญ่
สาเหตุ เกิดจากเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ (Influenza virus) โดยเชื้อไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาล สามารถจำแนกออกเป็น 3 ชนิด ได้แก่ ชนิดเอ บี และซี โดยที่พบมากที่สุด คือ ไข้หวัดใหญ่ ชนิดเอ (H1N1) (H3N2) รองลงมาได้แก่ ชนิด บี และซี
การแพร่ติดต่อ  เชื้อไวรัสที่อยู่ในเสมหะ น้ำมูก น้ำลาย หรือเสมหะของผู้ป่วย แพร่ติดต่อไปยังคนอื่นๆ ได้ง่าย เช่น การไอหรือจามรดกัน หรือหายใจเอาฝอยละอองเข้าไป หากอยู่ใกล้ผู้ป่วยในระยะ 1 เมตร บางรายได้รับเชื้อทางอ้อมผ่านทางมือหรือสิ่งของเครื่องใช้ที่ปนเปื้อนเชื้อ เช่น แก้วน้ำ ลูกบิดประตู โทรศัพท์ ผ้าเช็ดมือ เป็นต้น เชื้อจะเข้าสู่ร่างกายทางจมูก ตา ปากในผู้ใหญ่อาจแพร่เชื้อได้นานประมาณ 3-5 วัน นับจากเริ่มป่วย ในเด็กเล็กสามารถแพร่ได้นานกว่าผู้ใหญ่ อาจพบได้ 7-10 วัน และอาจนานขึ้นไปอีก ในผู้ป่วยที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่องอย่างรุนแรง
อาการป่วย มักจะเกิดขึ้นทันทีทันใดด้วยอาการไข้สูง ตัวร้อน หนาว ปวดเมื่อยตามกล้ามเนื้อมาก โดยเฉพาะที่หลัง ต้นแขน ต้นขา ปวดศีรษะ อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร คัดจมูก มีน้ำมูกใสๆ ไอแห้งๆ โดยในเด็กอาจพบอาการคลื่นไส้ อาเจียน ท้องร่วงได้มากกว่าผู้ใหญ่ ส่วนอาการคัดจมูก จาม เจ็บคอ พบเป็นบางครั้งในไข้หวัดใหญ่ แต่จะพบในไข้หวัดมากกว่าผู้ป่วยส่วนใหญ่มีอาการไม่รุนแรง หายป่วยได้โดยไม่ต้องนอนรักษาตัวในโรงพยาบาล อาการจะทุเลาและหายป่วยภายใน 57 วัน แต่บางรายที่มีอาการปอดอักเสบ รุนแรง จะพบอาการหายใจเร็ว เหนื่อย หอบ หายใจลำบาก ซึ่งอาจทำให้เสียชีวิตได้
การรักษา  โรคไข้หวัดใหญ่สามารถรักษาได้ ซึ่งโดยมากเป็นการรักษาตามอาการ แต่ในรายที่มีข้อบ่งชี้ทางการแพทย์ เช่น ในกลุ่มเสี่ยงที่จะมีอาการรุนแรง แพทย์จะมีการพิจารณาให้ยาต้านไวรัสโรคไข้หวัดใหญ่ คือ ยาโอลเซลทามิเวียร์ (oseltamivir)  ทั้งนี้ในกลุ่มเสี่ยงป่วยรุนแรง หากมีอาการสงสัยไข้หวัดใหญ่ เช่น เป็นไข้ ปวดเมื่อยตามตัว เจ็บคอ ไอ มีน้ำมูก ให้รีบมาพบแพทย์เข้ารับการรักษาตั้งแต่เนิ่นๆ ส่วนบุคคลทั่วไปหากมีอาการป่วยและอาการไม่ดีขึ้นใน 2 วัน ให้รีบพบแพทย์เพื่อรับการรักษา ผู้ป่วยที่มีอาการเล็กน้อย เช่น มีไข้ต่ำๆ และยังรับประทานอาหารได้ อาจไปพบแพทย์ หรือขอรับยาและคำแนะนำจากเภสัชกรใกล้บ้าน และดูแลรักษากันเองที่บ้านได้ ดังนี้
1.       นอนหลับพักผ่อนมาก ๆ ในห้องที่อากาศถ่ายเทดี ไม่ควรออกกำลังกาย
2.       ให้ดื่มน้ำเกลือแร่ น้ำผลไม้ มากๆ งดดื่มน้ำเย็น
3.       รักษาตามอาการ หากมีไข้ให้ใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดตัว หากไข้ไม่ลดให้รับประทานยาลดไข้ เช่น พาราเซตามอล ห้ามใช้ยาแอสไพริน หากทานยาแล้วอาการไม่ดีขึ้น ภายใน 2 วัน ควรรีบพบแพทย์
4.       พยายามรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ เช่น โจ๊ก ข้าวต้ม ไข่ ผัก ผลไม้ เป็นต้น


โรคชิคุนกุนยา
          โรคชิคุนกุนยาเป็นโรคติดเชื้อไวรัสติดต่อโดยยุงลาย ผู้ป่วยจะมีอาการไข้สูงและมีอาการปวดข้อ แต่มักจะไม่เสียชีวิต แต่อาการปวดข้ออาจจะต้องใช้เวลาหลายเดือนกว่าจะหาย มีอาการคล้ายไข้ เดงกี แต่ต่างกันที่ไม่มีการรั่วของพลาสมาออกนอกเส้นเลือด จึงไม่พบผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรง  ผู้ป่วยจะมีอาการไข้สูงอย่างฉับพลัน มีผื่นแดงขึ้นตามร่างกายและอาจมีอาการคัน ร่วมด้วย พบตาแดง (conjunctival injection) แต่ไม่ค่อยพบจุดเลือดออกในตาขาว ในผู้ใหญ่อาการที่เด่นชัดคืออาการปวดข้อ ซึ่งอาจพบข้ออักเสบได้ ส่วนใหญ่จะเป็นที่ข้อเล็กๆ เช่น ข้อมือ ข้อเท้า อาการปวดข้อจะพบได้หลายๆ ข้อเปลี่ยนตำแหน่งไปเรื่อยๆ (migratory polyarthritis)
การป้องกันและการรักษา เนื่องจากยังไม่มียาหรือวัคซีนเฉพาะ ดังนั้นการป้องกันจะเป็นวิธีการที่ดีที่สุด โดยการหลีกเลี่ยงมิให้ยุงลายกัด  เป็นการรักษาแบบประคับประคอง (supportive treatment) เช่นให้ยาลดอาการไข้ ปวดข้อ และการพักผ่อน

โรคไข้หวัดนก
          โรคไข้หวัดนกเป็นโรคติดต่อของสัตว์ประเภทนก ตามปกติโรคนี้ติดต่อมายังคนได้ไม่ง่ายนัก แต่คนที่สัมผัสใกล้ชิดกับสัตว์ที่เป็นโรคอาจติดเชื้อได้ โรคไข้หวัดนกมีรายงานการเกิดโรคในคนเป็นครั้งแรกในปี 2540 เมื่อเกิดโรคระบาดของสัตว์ปีกในฮ่องกง โรคไข้หวัดนกเกิดจากเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่บางสายพันธุ์ที่พบในนก ซึ่งเป็นแหล่งรังโรคในธรรมชาติ โรคอาจแพร่มายังสัตว์ปีกในฟาร์ม คนติดโรคได้โดยการสัมผัสกับสัตว์ปีกที่ป่วยหรือตาย เชื้อที่อยู่ในน้ำมูก น้ำลาย และมูลของสัตว์ป่วย อาจติดมากับมือ และเข้าสู่ร่างกายทางเยื่อบุของจมูกและตา ทำให้เกิดโรคคล้ายไข้หวัดใหญ่ มีระยะฟักตัว ซึ่งหมายถึง ตั้งแต่ผู้ป่วยได้รับเชื้อ จนกระทั้งมีอาการ โดยส่วนใหญ่ประมาณ 2 ถึง 8 วัน (เฉลี่ย 4 วัน) โรคไข้หวัดนกเกิดจากเชื้อไวรัส อยู่ใน family Orthomyxoviridae, genus Influenzavirus)
         ลักษณะอาการผู้ป่วยโรคไข้หวัดนก ผู้ป่วยจะมีอาการไข้สูง หนาวสั่น ปวดศีรษะ ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ อ่อนเพลีย เจ็บคอ ไอ ผู้ป่วยที่เป็นเด็กเล็ก ผู้สูงอายุ หรือผู้ที่มีโรคประจำตัว ผู้ป่วยที่มีภูมิคุ้มกันของร่างกายไม่ดี มักมีอาการรุนแรงได้ โดยจะมีอาการหอบ หายใจลำบาก เนื่องจากปอดอักเสบรุนแรง ผู้ที่มีความเสี่ยงต่อโรคไข้หวัดนก ได้แก่ ผู้ที่ทำงานในฟาร์มสัตว์ปีก ผู้ที่ฆ่าหรือชำแหละสัตว์ปีก ในพื้นที่ที่เกิดโรคไข้หวัดนกระบาด และชาวบ้านซึ่งสัมผัสสัตว์ปีกที่ป่วยซึ่งเลี้ยงไว้ตามบ้าน หรือพักอาศัยในหมู่บ้านที่มีสัตว์ปีกป่วยหรือตายผิดปกติ
การป้องกันโรคไข้หวัดนก
1. หลีกเลี่ยงการสัมผัสสัตว์ปีกที่มีอาการป่วย หรือตาย โดยเฉพาะเด็ก, ผู้สูงอายุและผู้ที่มีภูมิคุ้มกันของร่างกายอ่อนแอ
2. หากต้องสัมผัสกับสัตว์ปีกในระยะที่มีการระบาดในพื้นที่ ให้สวมหน้ากากอนามัย สวมถุงมือ
3. ล้างมือทุกครั้ง หลังการสัมผัสสัตว์ปีกและสิ่งคัดหลั่งของสัตว์ปีกด้วยสบู่และน้ำ
4. หากมีอาการเป็นไข้ ไอ โดยเฉพาะผู้มีอาชีพเลี้ยง ฆ่า ขนส่ง ขนย้าย และขายสัตว์ปีก หรือเกี่ยวข้องกับซากสัตว์ปีก หรืออยู่ในพื้นที่ที่มีการเสียชีวิตของสัตว์ปีกอย่างผิดปกติ ให้รีบมาพบแพทย์และบอกประวัติ การสัมผัสพร้อมอาการ เพื่อให้มีการรายงานโรคตามระบบการเฝ้าระวัง และเจ้าหน้าที่สาธารณสุขจะเข้าทำการสอบสวนและควบคุมโรคต่อไป
5. ดูแลรักษาสุขภาพร่างกายของตนเองและบุคคลในครอบครัวให้แข็งแรงอยู่เสมอ

โรคมาลาเรีย
การติดต่อของโรคมาลาเรีย หรือไข้จับสั่น โรคมาลาเรีย หรือไข้จับสั่น(Malaria) สามารถที่จะติดต่อจากบุคคลหนึ่งไปสู่อีกบุคคลหนึ่งได้โดย การถูกยุงก้นปล่องกัด โดยเชื้อโรคมาลาเรีย หรือไข้จับสั่น(Malaria) จะพบมากในตับและในเลือดของผู้ที่ป่วยเป็นโรค และเมื่อถูกยุงกัดและดูดเลือดที่มีเชื้อ เชื้อโรคมาลาเรีย หรือไข้จับสั่น(Malaria) จะติดไปกับตัวยุง และเมื่อยุงไปกัดผู้ที่ยังไม่ป่วยก็จะทำให้ผู้ที่ถูกกัดติดโรคได้
อาการของโรคมาลาเรีย หรือไข้จับสั่น อาการที่พบบ่อยในผู้ที่ติดเชื้อโรคไข้มาลาเรีย จะมีอาการดังต่อไปนี้
ไข้สูง โดยจะมีไข้แบบไข้สูง แล้วไข้ลดลง ไปมาสลับกัน หรือไข้ตลอดเวลาก็ได้
หนาวสั่น
เหงื่อออกมาก
วิงเวียน
-ปวดตามกล้ามเนื้อและข้อต่อ
-ปวดศีรษะ
-สับสน
ในบางรายอาจจะมีอาการ กระหายน้ำ ท้องร่วง ปวดท้อง ไอ หรือโลหิตจางได้แต่ที่พบ เป็นปัญหามากคือ การติดเชื้อ Plasmodium falciparum โดยเชื้อดังกล่าวสามารถที่จะทำให้เกิดการติดเชื้อในสมอง เกิดการสมองอักเสบและอันตรายได้ถึงชีวิต
การป้องกันโรคมาลาเรียหรือไข้จับสั่น การป้องกันโรคมาลาเรีย หรือไข้จับสั่น(Malaria)ที่ดีที่สุด คือ การหลีกเลี่ยงการถูกยุงกัดโดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีการระบาดของโรค หรือเป็นพื้นที่ที่มีโรคมาลาเรียเป็นโรคประจำถิ่น และในกรณีที่ต้องเข้าไปในพื้นที่ที่เป็นแหล่งโรคและมีการระบาดของโรคต้องป้องกันการติดเชื้อโดยการรับประทานยาต้านเชื้อมาลาเรีย ซึ่งการรับประทานยาต้านเชื้อต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น